Customer Reviews

5
รวบรวมหลักธรรมในการดำเนินชีวิตได้รอบด้านดี
โดย: นิสา วันที่เขียนรีวิว: 31 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ก่อนอื่นคงต้องกล่าวถึงที่มาของหนังสือธรรมนูญชีวิตก่อนว่า เป็นหนังสือประมวลหลักธรรม ความหมายก็คือเป็นหนังสือรวบรวมหลักธรรมคำสอนในทางพุทธศาสนา ทำนองเดียวกับธรรมนูญกฎหมายหรือประมวลกฎหมายนั่นเอง หนังสือเล่มนี้เกิดจากความตั้งใจที่ต้องการรวบรวมและเผยแพร่หลักธรรมในทางพระพุทธศาสนาที่เป็นระบบ มีมาตรฐาน ทั้งที่เป็นภาษาไทยและที่มีการแปลออกมาเป็นภาษาอังกฤษเพื่อเผยแพร่ให้กับพุทธศาสนิกชนชาวไทยและชาวต่างประเทศได้ศึกษาหาความรู้กัน ที่ต้องบอกถึงที่มาและลักษณะของหนังสือเล่มนี้ก่อน ก็เพื่อเตือนผู้อ่านว่า หากสนใจที่จะอ่านหนังสือเล่มนี้ ต้องทำใจไว้ก่อนว่าถ้าไม่ใช่เป็นผู้อ่านคอธรรมะ อ่านแล้วคงต้องง่วงเหงาหาวนอนกันเลยทีเดียว เพราะเนื้อหาในหนังสือจะเป็นหลักธรรมล้วนๆ ไม่มีอภินิหาร หรือเรื่องราวสนุกๆแฝงหลักธรรมตามแนวหนังสือสอนธรรมะสมัยใหม่ที่เน้นความสนุกปนความรู้ เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้อย่างที่บอกคือเป็นเรื่องราวของหลักธรรมและคำอธิบายประกอบหลักธรรมนั้น ดูเผินๆก็มีลักษณะคล้ายคลึงกับพจนานุกรม จะเรียกว่าเป็นพจนานุกรมธรรมะก็ว่าได้ ยกตัวอย่างเช่นเรื่องศีล 5 ข้อมีอะไรบ้าง มีชื่อเรียกทางธรรมอย่างไร แต่ละข้อแปลว่าอะไร ปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติตามแล้วเกิดผลดีผลเสียอย่างไร เป็นต้น คือหนังสือเล่มนี้เหมาะกับการเป็นหนังสือที่ใช้อ้างอิงความหมายของหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนามากกว่า คือถ้าผู้อ่านที่ไปศึกษาธรรมะจากแหล่งต่างๆไม่ว่าจะเป็นจากการฟังพระเทศน์หรือจากการอ่านหนังสือธรรมะ แล้วเกิดข้อสงสัยในความหมายของหลักธรรมคำสอนที่ตัวเองได้ยินได้ฟังมา ก็สามารถมาสืบค้นหาความหมายของหลักธรรมคำสอนเหล่านั้นจากหนังสือเล่มนี้ได้ โดยเป็นหนังสือที่มีทั้งภาคภาษาไทยและภาคภาษาอังกฤษ
ในส่วนของเนื้อหาภายในเล่มก็จะมีการแบ่งออกเป็นเรื่องๆ เป็นหมวดๆ ในแต่ละหมวดก็จะมีหลักธรรมแบ่งย่อยออกมา ซึ่งในแง่นี้ก็มีความสะดวกกับผู้อ่านในการค้นหาข้อมูลได้ง่าย เป็นระบบเป็นระเบียบดี เข้าใจว่าในส่วนของหลักธรรมอาจจะไม่ได้รวบรวมมาไว้ทั้งหมด อันนี้ไม่ยืนยันว่าเข้าใจถูกมั้ย เพราะผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าหลักธรรมในทางพุทธศาสนามีอะไรบ้าง มีทั้งหมดกี่ข้อกี่หลัก แต่เท่าที่อ่านดูก็ถือว่ามีเนื้อหาครอบคลุม รอบด้านดี มีเนื้อหาที่เข้าใจว่าครบถ้วนสำหรับปุถุชนคนธรรมดาที่สามารถอ่านแล้วเข้าใจและเพียงพอที่สามารถจะนำไปปฏิบัติจริงในชีวิตประจำวันได้ไม่ยาก ยกตัวอย่างเช่นหมวดนำว่าด้วยเรื่องคนกับความเป็นคน หมวดสองว่าด้วยเรื่องคนกับสังคม หมวดต่อๆไปก็ว่าด้วยเรื่อง คนกับชีวิต คนกับคน และคนกับมรรคา ในเรื่องคนกับคนก็จะเป็นการพูดถึงว่าคนที่สมบูรณ์พร้อมควรเป็นอย่างไร คนกับสังคมก็จะพูดถึงหลักการอยู่ร่วมกัน คนกับชีวิตก็จะพูดถึงเรื่องความสำเร็จ การทำมาหากิน คนกับคนก็จะเป็นเรื่องคู่ชีวิต การสืบตระกูล นายกับลูกน้อง และคนกับมรรคาก็จะพูดถึงการศึกษาเล่าเรียน การสืบทอดศาสนา เป็นต้น โดยสรุปก็คือเป็นหนังสือที่วางหลักการพื้นฐานในชีวิตให้กับคนนั่นเอง
ปั้นมนุษย์แต่ยังเด็ก
4
หนังสือสอนให้รู้จักสร้างคนด้วยธรรมะตั้งแต่วัยเด็ก
โดย: นิสา วันที่เขียนรีวิว: 31 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก ยังคงเป็นความจริงเสมอไม่ว่าจะนำไปใช้กับเรื่องอะไรก็ตาม เรื่องของการเรียนรู้ธรรมะนี่ก็เช่นกัน เราจะต้องไม่ไปยึดติดว่าธรรมะเป็นเรื่องสำหรับผู้ใหญ่หรือคนเฒ่าคนแก่เท่านั้น แต่ธรรมะนี้เป็นเรื่องสำหรับคนทุกเพศทุกวัย ทุกสถานะ การเรียนรู้ธรรมะของผู้ใหญ่บางครั้งก็ถือเป็นเรื่องเสียเวลาในแง่ที่ว่าเรียนไปเพื่อคิดจะมาปลูกฝังคุณธรรมกันใหม่ เพราะเป็นเรื่องยากพอๆกับเรื่องโจรกลับใจเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับเด็กหากจะปลูกฝังธรรมะ หรือคุณธรรมจริยธรรมอะไรบางอย่างลงไปย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าเหมือนกับคำกล่าวที่ว่าเด็กเปรียบเสมือนผ้าขาวนั่นเอง ซึ่งหนังสือปั้นมนุษย์แต่ยังเด็กเล่มนี้ก็อยู่บนพื้นฐานของความคิดดังกล่าว แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกทุกครั้งเวลาที่อ่านหนังสือในชุดธรรมะปลูกใจ ที่เน้นการสอนธรรมะสำหรับเยาวชนก็คือกลุ่มเป้าหมายของหนังสือเล่มนี้คือเยาวชนวัยไหน เพราะโดยเนื้อหาของหนังสือที่มีลักษณะที่ไม่ชวนอ่านเลยสำหรับเด็กๆ ความยากของภาษาก็ยังไม่เหมาะที่จะใช้สื่อสารกับเด็ก ทำให้เกิดข้อสงสัยนิดหนึ่งว่าเยาวชนวัยไหนควรอ่านหนังสือเล่มนี้ ถ้าเป็นวัยประถม ก็คิดว่าน่าจะยังอ่านไม่เข้าใจ ถ้าเป็นวัยมัธยมก็อาจจะอ่านเข้าใจแต่ก็ดูเหมือนจะโตเกินวัยที่ตรงกับเนื้อหาที่เขียน พูดง่ายๆก็คือโดยเจตนาเข้าใจว่าเป็นหนังสือที่ต้องการสอนธรรมะกับเด็กวัยก่อนมัธยม แต่ด้วยภาษาที่ใช้บางทีอาจจะยากเกินไปสำหรับเด็กวัยนี้ ก็เลยอาจจะมีปัญหาสำหรับเด็กวัยนี้ที่จะสนใจหยิบขึ้นมาอ่าน ถ้าเป็นเด็กที่โตกว่านี้เนื้อหาก็เป็นเรื่องที่พวกเขาก็รู้กันอยู่แล้วก็จะไม่ตอบโจทย์เด็กมัธยมอีก ยิ่งถ้าเป็นผู้ใหญ่ขึ้นไปยิ่งไม่ต้องพูดถึง ยกตัวอย่างเช่นการใช้คำว่าแม้ที่เป็นเด็กทารก ก็ต้องมีธรรมที่เป็นฝักฝ่ายของโลกุตตระ ที่เรียกว่าปรมัตถธรรม ถ้อยคำแบบนี้ผู้ใหญ่หลายคนยังอ่านไม่เข้าใจเลย
อย่างไรก็ตามส่วนดีของหนังสือเล่มนี้ก็ยังมีอยู่เพราะถ้าลองอ่านลงไปในรายละเอียดเรื่อยๆก็จะมีเรื่องง่ายๆที่อ่านแล้วเข้าใจและสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง แถมยังเป็นแนวคิดที่น่าสนใจด้วยเช่นการสอนให้เด็กไม่กลัวในเรื่องงมงายไร้สาระ แต่ให้เขาคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล และมีความเชื่อมั่นในตนเอง ไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดา เรื่องงมงายไร้สาระ ไม่เชื่อในเรื่องการอ้อนวอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ให้เชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง การสอนให้เด็กรู้จักความเป็นไปของธรรมชาติ เรื่องเกิด แก่ เจ็บตาย เป็นของธรรมดานี้ เด็กควรจะได้เรียนรู้ตั้งแต่แรก เพื่อจะได้ไม่กลัว ส่วนเรื่องอื่นๆส่วนใหญ่ก็จะเป็นคุณธรรมพื้นฐานเช่นการเสียสละ การยึดมั่นในความดี เป็นต้น
ยุวธรรมสำหรับยุวชน
4
เหมาะกับเด็กๆที่ต้องการรู้จักหน้าที่ของตัวเอง
โดย: นิสา วันที่เขียนรีวิว: 31 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ยุวธรรมสำหรับยุวชน เป็นหนังสือที่รวบรวมการบรรยายธรรมของท่านอาจารย์พุทธทาสที่ได้บรรยายธรรมให้แก่ยุวชนเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2532 เนื้อหาสาระที่เป็นหลักใหญ่ใจความของหนังสือก็คือธรรมะสำคัญที่เหล่ายุวชนทั้งหลายจะต้องมีติดตัวติดใจไว้นั้นคืออะไร ตามชื่อของหนังสือเลย
ก่อนที่จะเข้าสู่เนื้อหาของหนังสือ สิ่งที่รู้สึกว่าเป็นข้อเสียของหนังสือเล่มนี้ก็คือการเกริ่นนำที่มีมากเกินไป หมายความว่ากว่าจะเข้าสู่หัวใจของเรื่องว่าคุณธรรมสำหรับเยาวชนนั้นมีอะไรบ้างก็ปาเข้าไปกว่าครึ่งค่อนเล่มแล้ว ซึ่งก็พอจะเข้าใจได้ว่านี่เป็นหนังสือที่รวบรวมมาจากการบรรยาย แต่พอมาเป็นหนังสือ การเกริ่นนำที่ดูยืดเยื้อมากเกินไปทำให้หนังสือไม่ชวนอ่าน ไม่เข้าเรื่องซักที ที่ว่าเกริ่นนำยาวนั้นคืออะไรก็คือการที่ท่านอาจารย์พุทธทาสได้อธิบายว่าธรรมะนั้นมันมาเชื่อมโยงกับความเป็นยุวชนได้อย่างไรนั่นเอง โดยท่านอาจารย์อธิบายว่ายุวชนนั้นเป็นวัยที่อ่อนโดยอายุ โดยสติปัญญา โดยคุณธรรม จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเติมสิ่งที่ยังขาดเหล่านี้ลงไปผ่านการเรียนรู้ธรรมะ ธรรมะเป็นเรื่องของธรรมชาติ เป็นเรื่องจริงที่จะต้องเกิดขึ้นกับคนทุกเพศทุกวัย ดังนั้นยุวชนก็มีความจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้เพื่อที่จะจัดการกับมันได้อย่างถูกต้อง สามารถจัดการกับความอ่อนด้อยทั้งหลายที่กล่าวมาด้วยการพัฒนาสติปัญญา ซึ่งต้องพัฒนาให้ดีที่สุดก่อนตายอย่าให้เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบพุทธศาสนา มาถึงตรงนี้ก็พอเข้าใจความสำคัญของการใช้ธรรมะในการพัฒนาเยาวชนแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เข้าสู่ส่วนที่สำคัญที่สุดของหนังสือ ผู้เรียบเรียงกลับย้อนไปพูดถึงเรื่องที่ว่าชีวิตของคนเรานั้นมันโง่ตั้งแต่แรกคลอดออกมา ซึ่งจะต้องพัฒนาความโง่นี้ให้กลายเป็นความเจริญรุ่งเรืองของความเป็นมนุษย์ จะเห็นว่าเป็นการวกกลับมาพูดในประเด็นเดิมอีก ซึ่งไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมไม่เรียบเรียงใหม่ให้ต่อเนื่องกว่านี้
จะเห็นว่าสิ่งที่หนังสือต้องการสื่อสารกับผู้อ่านก็คือธรรมะเครื่องมือในการพัฒนาความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ให้กับยุวชนนั่นเอง ซึ่งท่านพุทธทาสใช้คำว่าธรรมะเป็นระบบของการกระทำเพื่อความถูกต้องของความรอด ซึ่งได้แก่ความรอดทางกายคือไม่ตายไปเสียก่อน และความรอดทางใจคือไม่ต้องเป็นทุกข์ ซึ่งการกระทำเพื่อความถูกต้องสำหรับยุวชนที่หนังสือยกมาก็ได้แก่ การเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา การเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ การเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน การเป็นพลเมืองที่ดีของชาติ การเป็นสาวกที่ดีของพระศาสนา และการเป็นมนุษย์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นมนุษย์
สวัสดีอาเซียน พูดจาประสาอาเซียน
5
เรียนรู้ภาษาอาเซียนง่ายๆผ่านหนังสือเล่มนี้
โดย: นิสา วันที่เขียนรีวิว: 31 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ช่วงสองสามปีมานี้เวลาเราดูข่าวสารตามทีวีหรือว่าอ่านจากสื่อต่างๆเชื่อเหลือเกินว่าหนึ่งในข่าวที่เราต้องผ่านหูผ่านตาแทบจะทุกวันก็คือข่าวเรื่องอาเซียนหรือชื่ออย่างเป็นทางการก็คือประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน แต่ถ้าลองไปไล่ถามความรู้ของคนไทยเกี่ยวกับอาเซียน ไม่ต้องเอาคำถามที่ยากอะไรมากมาย แค่ว่าอาเซียนคืออะไร ผมว่าหลายคนก็อาจจะตอบไม่ได้ ไม่ต้องนึกเลยว่าถ้าถามลึกแกว่านี้เช่นว่าอาเซียนมีความสำคัญยังไง ข้อดี ข้อเสียต่อประเทศไทยเป็นยังไง ผลกระทบทางเศรษฐกิจ การเมือง ต่อประเทศไทยเป็นยังไง คงเป็นคำถามที่หลายคนยากที่จะอธิบาย แต่อย่างไรก็ตามเราอาจจะยังไม่ต้องคิดไปไกลขนาดนั้นก็ได้ เพราะหนังสือเล่มนี้ก็ไม่ได้ให้ข้อมูลเชิงลึกมากมายขนาดนั้น แต่หนังสือเล่มนี้กำลังจะให้ข้อมูลที่จำเป็นพื้นฐานที่อย่างน้อยก็สามารถทำให้ผู้อ่านสามารถมีความรู้ความเข้าใจประเทศเพื่อนบ้านของไทยที่เป็นสมาชิกของอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ลองไล่ดูกันตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย หลักๆหนังสือเล่มนี้ก็จะให้ความสำคัญกับการศึกษาภาษาท้องถิ่นเพื่อใช้ในการสื่อสารกับผู้คนในประเทศสมาชิกอาเซียน โดยผู้เขียนมองว่าลำพงเพียงแค่ภาษาอังกฤษอย่างเดียวอาจจะยังไม่เพียงพอ เหตุผลก็คือแม้ภาษาอังกฤษจะเป็นภาษาสากลที่สามารถใช้ติดต่อสื่อสารกับคนทั่วโลกได้ และประชากรในประเทศอาเซียนหลายประเทศก็สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี แต่หากเราคิดจะติดต่อค้าขาย แลกเปลี่ยนกันทางวัฒนธรรมระหว่างประเทศสมาชิก การเรียนรู้ภาษาท้องถิ่นซึ่งกันและกันก็น่าจะดีกว่า เพราะอย่าลืมว่าไม่ใช่ประชากรของทุกประเทศจะสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ทุกคน และอีกอย่างหากเราสามารถพูดภาษาท้องถิ่นของประเทศนั้นๆได้ก็เหมือนกับการซื้อใจกัน ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นมิตรต่อกันมากขึ้น สามารถเข้าถึงจิตใจ ความคิด และวัฒนธรรมของแต่ละประเทศได้มากขึ้นนั่นเอง พูดง่ายๆก็คือเราสามารถใช้ภาษาเป็นเหมือนเครื่องมือหรือประตูที่จะก้าวไปสู่ความเป็นประชาคม ความเป็นสังคมเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สามารถติดต่อสื่อสารกันเข้าใจได้อย่างแท้จริง แต่อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่หนังสือสอนภาษาที่มีเนื้อหาเข้มข้นแบบตำรานะครับ ภาษาท้องถิ่นของแต่ละประเทศที่เอามาสอนในหนังสือเล่มนี้เป็นเพียงภาษาง่ายๆพื้นฐานในชีวิตประจำวันเท่านั้นเอง จริงๆคือจะเรียกว่าพื้นฐานสุดๆเลยก็ว่าได้เพราะจะเป็นแค่การสอนประโยคง่ายๆเอาไว้พูดทักทาย ขอบคุณ ถามสารทุกข์สุกดิบกันอะไรทำนองนั้น คืออ่านแล้วไม่ถึงขั้นที่จะพูดภาษานั้นๆได้เลย แต่ก็พอจะรู้ว่าคำศัพท์พื้นฐานที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันที่เขาพูดๆกันนั้นแต่ละประเทศต้องพูดว่ายังไง นอกเหนือจากเรื่องราวของภาษาก็จะมีส่วนของเนื้อหาทางด้านข้อมูลวิชาการเกี่ยวกับอาเซียนและข้อมูลเบื้องต้นของแต่ละประเทศ เช่นพวกข้อมูลทางภูมิศาสตร์ ศาสนา การปกครอง เอาไว้อ่านเป็นความรู้เบื้องต้นได้ดีทีเดียว
กินตามสี
4
ถ้าอยากทราบว่าผักผลไม้ที่เราชอบกินมีประโยชน์อย่างไร แนะนำให้อ่านหนังสือเล่มนี้
โดย: นิสา วันที่เขียนรีวิว: 28 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เมื่อพูดถึงการดูแลรักษาสุขภาพด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เราคงนึกถึงการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และการกินอาหารให้ครบ 3 มื้อ อะไรทำนองนั้น เพราะเรื่องการทานอาหารให้ครบ 5 หมู่นี้เป็นเรื่องที่เราเรียนกันมาตั้งแต่เด็กๆ แต่เชื่อว่าหลายคนไม่มีใครสามารถทำได้ตามนั้น พูดให้เจาะจงลงไปในอาหาร 5 หมู่ เรื่องของการรับประทานผักและผลไม้ซึ่งเป็นหมู่หนึ่งนั้น ก็มีความสำคัญไม่แพ้หมู่อื่นๆ อันที่จริงถ้าจะพูดให้ถูกก็คือผักและผลไม้เป็นหมู่อาหารที่นักโภชนาการให้ความสำคัญกันมากและมักถูกหยิบยกเอามาถ่ายทอดออกมาเป็นเรื่องราวของการดูแลสุขภาพด้วยการรับประทานอาหารประเภทผักผลไม้ที่มีประโยชน์อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการเขียนหรือรูปแบบรายการโทรทัศน์ เราทราบแค่เป็นเบื้องต้นว่าผักผลไม้มีวิตามินและแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แต่เราหลายคนคงไม่ทราบลึกลงไปในรายละเอียดว่าวิตามินและแร่ธาตุหรือสารอาหารต่างๆที่มีอยู่ในผักผลไม้ที่เรารับประทานเข้าไปนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกายของเราอย่างไร รับประทานเข้าไปแล้วช่วยป้องกันรักษาโรคภัยไข้เจ็บอะไรได้บ้าง ช่วยซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรออะไรได้บ้าง เป็นต้น
หนังสือเรื่องกินตามสีเล่มนี้ พยายามที่จะอธิบายรายละเอียดของผักผลไม้แต่ละชนิดว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายของผู้บริโภคอย่างไร เหตุที่ใช้คำว่ากินตามสีนั้น ผู้เขียนบอกว่าผักผลไม้มีสารประกอบชีวภาพที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่นสารกระตุ้นอนุมูลอิสระ สารช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ ในอวัยวะต่างๆของร่างกาย สารเหล่านี้เป็นสารประกอบที่มีสี พบได้ในผักผลไม้หลากหลายสีสันต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเขียว ขาว เหลือง แดง ม่วง การที่เรารับประทานผักผลไม้หลากหลายสีสันสลับกันไปมาบ่อยๆอย่างสม่ำเสมอประกอบมื้ออาหารต่างๆทุกวัน จะช่วยให้เราได้รับประโยชน์จากสารอาหารต่างๆได้อย่างครบถ้วน
ผักและผลไม้สีเขียว ได้แก่ ตำลึง ผักหวานบ้าน มะเขือเปราะ ถั่วพู ขจร กระเจี๊ยบและแตงกวา
ผักและผลไม้สีขาว ได้แก่ กล้วย ลิ้นจี่ ลำไย หอมหัวใหญ่ แค
ผักและผลไม้สีเหลือง ได้แก่ ทุเรียน ฟักทอง มะม่วง มะละกอ และมะนาว
ผักและผลไม้สีแดง ได้แก่ กระเจี๊ยบแดง มะเขือเทศราชินี และทับทิม
ผักและผลไม้สีม่วง ได้แก่ ข้าวก่ำ และกะหล่ำปลีม่วง
ผักผลไม้ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น ผู้เขียนจะนำมาอธิบายแต่ละชนิดโดยละเอียดว่าแต่ละชนิดมีชื่อและลักษณะทางวิทยาศาสตร์อย่างไร มีคุณสมบัติในทางยาและโภชนาการอย่างไร สามารถป้องกันและรักษาโรคอะไรได้บ้าง เป็นเนื้อหาที่ค่อนข้างเน้นไปทางวิชาการมากอยู่เหมือนกัน ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังอ่านตำราโภชนาการอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าอ่านแล้วได้ความรู้ทุกบรรทัดแน่นอน ข้อเสียน่าจะเป็นเรื่องที่เน้นแต่คุณค่าทางโภชนาการและสารอาหาร น่าจะมีส่วนที่ว่าด้วยการนำผักผลไม้เหล่านั้นมารับประทานในรูปแบบต่างๆน่าจะช่วยให้หนังสือดูน่าสนใจมากขึ้น
ความสุขอัดเม็ด (ชาติ ภิรมย์กุล)
4
บนความไร้สาระก็ยังมีเรื่องยิ้มๆที่ทำให้ผู้อ่านได้มีความสุขจากการอ่านได้
โดย: นิสา วันที่เขียนรีวิว: 28 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ถ้าผู้อ่านต้องการหาความหมายของความสุขในรูปแบบสัจธรรม ศาสนาหรือปรัชญาอะไรทำนองนั้น ขอให้วางหนังสือเล่มนี้ลงไดเลย หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ช่วยชี้ทางความสุขให้ผู้อ่าน ไม่ได้ให้คำตอบว่าความสุขคืออะไร ไม่ได้สอนปรัชญาการใช้ชีวิต แต่เป็นเพียงหนังสือที่จะทำให้ผู้อ่านอ่านแล้วมีความสุข ผู้เขียนบอกว่าคนไทยนิยมกินยาจำพวกวิตามินหรืออาหารเสริมกันมากขึ้นทุกวัน คนไทยกินยาพวกนี้ก็เพราะเชื่อว่ามันทำให้เรามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงไม่เจ็บไม่ป่วย หนังสือเรื่องความสุขอัดเม็ดก็เลยกลายเป็นเหมือนวิตามินอีกเม็ดหนึ่งที่บอกเล่าเรื่องราวต่างๆผ่านมุมมองของผู้เขียน โดยมีจุดประสงค์ก็เพียงต้องการให้ผู้อ่านอ่านแล้วประทับใจและมีความสุขกับเรื่องราวที่ผู้เขียนบอกเล่าผ่านตัวอักษร อย่างที่ผู้เขียนบอกไว้ในตอนต้นของหนังสือว่าหนังสือที่ดีขอให้ผู้อ่านอ่านแล้วประทับใจก็พอการเล่าเรื่องง่ายๆอย่างการออกไปกินข้าวนอกบ้านกับลูกและภรรยา ก็สามารถสร้างความสุขเล็กๆให้กับผู้อ่านได้เหมือนกัน ผู้เขียนจะเน้นการเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเองและครอบครัวและเรื่องที่ตัวเองไปพบเจอมาเป็นหลัก ไม่ได้เน้นเรื่องการสอนหรืออธิบายความสุข แต่เรื่องราวที่เล่ากลับทำให้ผู้อ่านรู้สึกสุขขึ้นมาแบบไม่รู้ตัว ถึงแม้ว่าจะเป็นความสุขเล็กๆก็ตาม จะเรียกว่าผู้เขียนสามารถเข้าถึงความรู้สึกของผู้อ่านได้ดีด้วยภาษาการเล่าเรื่องแบบง่ายๆสบายๆและใกล้ตัวกับประสบการณ์ของผู้อ่านที่เชื่อว่าหลายคนคงเคยมีประสบการณ์เหมือนหรือใกล้เคียงกับผู้เขียน อย่างเรื่องกินเพื่ออยู่ก็เป็นการเล่าเรื่องว่าทุกวันนี้คนเราจะกินอะไรแต่ละอย่างต้องคิดแล้วคิดอีกว่าจะเป็นอันตรายมั้ย จะดีต่อสุขภาพมั้ย จะกินข้างกล้องหรือข้าวขาวดี อยากกินปลาทูทอดแต่กลัวว่าจะใช้น้ำมันเก่ามาทอดซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพ เลยตัดสินใจทอดปลาทูกินเอง แม้เป็นเรื่องทอดปลาทูธรรมดาๆแต่ด้วยลีลาการเขียนก็กลายเป็นเรื่องสนุกปนฮาได้
เรื่องสุขอีกเรื่องหนึ่งก็เช่นเรื่องกับดัก ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้เขียนเล่าถึงการที่ตัวเองคิดถึงภาพในอดีตในวันเก่า แล้วมองว่าบางทีการได้คิดย้อนกลับไปยังภาพความทรงจำเก่าๆ ก็ทำให้เราสุขได้เหมือนกัน เป็นความสุขที่ได้มาโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อซักบาท ผู้เขียนเล่าถึงความรักในวัยเรียนของตัวเองที่ชอบเพื่อนผู้หญิงห้องเดียวกัน จนกลายเป็นคนติดหญิง ติดโทรศัพท์ ต้องคุยกับเธอตลอดเวลาทั้งๆที่บางครั้งก็ไม่เรื่องอะไรจะคุย เลยได้แต่ถามเรื่องเดิมๆว่ากินข้าวยัง ช่วงติดหญิงก็กลายเป็นคนสำอางดูแลตัวเอง แต่ความรักของผู้เขียนกลับไม่สมหวัง เพราะฝ่ายหญิงกลับบอกว่าอยากคบกันเป็นเพื่อนมากกว่า
เนื้อหาในหนังสือก็จะประมาณนี้ จะว่าไร้สาระก็ว่าได้ จะว่าไม่ไร้สาระก็ว่าได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะมองที่ข้อดีหรือข้อเสียของหนังสือมากกว่า ถ้ามองที่ข้อดี บนความไร้สาระก็ยังมีเรื่องยิ้มๆที่ทำให้ผู้อ่านได้มีความสุขจากการอ่านได้
4
พลังสร้างสรรค์ไม่จำเป็นต้องเกิดจากการเรียนในห้องเรียนเสมอไป
โดย: นิสา วันที่เขียนรีวิว: 28 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เป็นที่เข้าใจตรงกันว่าการพัฒนาการเรียนรู้ของมนุษย์นั้นต้องเริ่มตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็ก ความเข้าใจอันนี้เกิดจาการค้นคว้า การทดลอง และงานวิจัยต่างๆมากมายที่สนับสนุนความคิดที่ว่า การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของมนุษย์ตั้งแต่เด็กนั้น สามารถกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขาและทำให้เขาสามารถพัฒนาศักยภาพของตัวเองไปสู่ความเป็นอัจฉริยะได้ เพราะฉะนั้นบุคคลที่เกี่ยวข้องที่ไม่อาจปฏิเสธภาระหน้าที่ในการสนับสนุนให้เด็กๆได้สร้างกระบวนการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ ก็คือพ่อแม่ผู้ปกครองนั่นเอง
เมื่อเป็นเช่นนี้พ่อแม่หลายคนก็คงจะบอกว่าตัวเองได้ทำหน้าที่ที่ว่านั้นสมบูรณ์แล้ว การให้ลูกได้เรียนในโรงเรียนดีๆ มีเพื่อนที่เรียนเก่งๆ มีสิ่งแวดล้อมที่ดี เลิกเรียนลูกก็ได้เรียนพิเศษต่อจนเลิกสองสามทุ่ม แบบนี้แล้วลูกจะไม่ฉลาดได้ยังไง เชื่อว่าพ่อแม่หลายคนก็คงมีความเข้าใจทำนองนี้ แต่แท้จริงแล้ววิธีการที่ทำอยู่นี้อาจจะทำให้ลูกหลานของคุณเป็นคนที่มีความรู้ทางวิชาการมากขึ้น สามารถแข่งขันกับคนอื่นได้แบบไม่น้อยหน้าใคร ตีรับประกันได้เลยว่าลูกของคุณจะต้องเป็นเด็กที่มีความเครียดสะสมและไม่มีทางที่จะกลายเป็นเด็กที่มีสุขภาพจิตที่ดีและมีความคิดสร้างสรรค์
หนังสือเล่มนี้เป็นความพยายามของเหล่าผู้เขียนในการแก้ไขความเข้าใจในการพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กเสียใหม่หรืออาจจะเรียกว่าเป็นการเปิดมุมมองใหม่ทางการเรียนรู้ของเด็กก็ว่าได้ คือแทนที่เราจะให้ความสำคัญกับการเรียนในห้องเรียนและการท่องจำแบบเก่าๆ ผู้เขียนต้องการให้พ่อแม่ผู้ปกครองให้ความสำคัญกับการพัฒนาสมอง ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการของเด็กๆมากกว่า แต่อย่างที่ผู้เขียนบอกว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือความรู้ทางวิชาการที่เต็มไปด้วยทฤษฎี หากแต่เป็นหนังสือที่ผู้เขียนต้องการถ่ายทอดประสบการณ์การเลี้ยงลูกและการทำงานร่วมกับเด็กๆให้ผู้อ่านได้ทราบมากกว่า
ผู้เขียนบอกว่าการเที่ยวเป็นเสมือประตูแห่งโอกาสสำหรับเด็กๆ แค่การเดินเล่นไปตาซอยของหมู่บ้าน แค่นี้ก็เป็นการเที่ยวที่สนุกสนานและมีความสุขของเด็กๆแล้ว การที่เด็กได้สัมผัสกับผู้คน สิ่งแวดล้อมต่างๆ ก็เป็นโอกาสที่ผู้ใหญ่จะได้ต่อยอดความรู้ให้กับเค้าเพื่ออธิบายสิ่งที่เค้าพบเห็นและสัมผัส
ต่อไปเป็นส่วนที่ว่าด้วยก๊วนชวนอ่าน ยกตัวอย่างง่ายๆว่าการอ่านนิทานให้เด็กฟังเป็นวิธีการหนึ่งในการกระตุ้นเซลล์ประสาทให้มีการเจริญเติบโต ในเวลาที่เด็กๆฟังนิทาน สมองของพวกเขาจะมีการเรียนรู้ มีการคิด มีการจินตนาการตามภาพ และเด็กๆจะมีสมาธิสูงในช่วงเวลานั้น
ส่วนเรื่องก๊วนชวนเล่น ก็คือการชวนเล่นด้วยกันระหว่างผู้ใหญ่กับเด็ก เพื่อให้เกิดการเล่นอย่างสร้างสรรค์เด็กๆจะได้ฝึกการแก้ปัญหา การใช้จินตนาการ และการเคลื่อนไหวร่างกาย ซึ่งหนังสือได้สอนวิธีการเล่นเอาไว้มากมาย
สมองของฉัน อัศจรรย์ใจ
5
ความบกพร่องทางสมองก็สามารถสร้างความน่าอัศจรรย์ของชีวิตได้
โดย: นิสา วันที่เขียนรีวิว: 28 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ชมพู่ ภูริดา บัวทรัพย์ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้คือบุคคลที่ป่วยด้วยโรคเส้นเลือดในสมองแตกและต้องผ่าตัดสมองถึงสามครั้ง ในขณะที่เธอกำลังมีชีวิตที่สดใสรุ่งโรจน์ทั้งในทางหน้าที่การงานและชีวิตส่วนตัว ความพลิกผลันในชีวิตของชมพู่ แม้จะนำมาซึ่งความทุกข์อย่างสาหัสทั้งทางร่างกายและจิตใจของเธอ แต่เธอก็สามารถที่จะฝ่าฟันช่วงเวลาที่ยากลำบากเหล่านั้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ผมประทับใจที่ท่านอาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ ผู้เขียนคำนิยมให้กับหนังสือเล่มนี้ที่ท่านเขียนเอาไว้ว่า ชีวิตของชมพู่ เป็นความงดงามของชีวิตมนุษย์ผู้หนึ่งที่มีปัญหาทางด้านสมองแต่ไม่ได้มีปัญหาทางด้านจิตใจเลย ตรงกันข้าม ความบกพร่องทางสมองกลับก่อให้เกิดความสมบูรณ์ทางจิตใจ นับเป็นความผกผันที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เพราะฉะนั้นผมจึงคิดว่าความน่าอัศจรรย์ของหนังสือเล่มนี้น่าจะหมาถึงความน่าอัศจรรย์ที่สามารถรอดชีวิตมาได้จากการผ่าตัดสมองถึงสามครั้ง และความน่าอัศจรรย์ที่ชมพู่สามารถพาตัวเองออกมาจากความทุกข์ท้อแท้ใจ ออกมาสู่การมีชีวิตที่มีความสุขสดใสอีกครั้ง ผู้อ่านจะได้เรียนรู้ว่าเธอก้าวข้ามอุปสรรคเหล่านั้นมาได้อย่างไร เมื่ออ่านจบแล้วเชื่อว่าผู้อ่านจะรักชีวิต เห็นคุณค่าของการมีลมหายใจ เห็นคุณค่าของคนใกล้ตัว และดำรงชีวิตของตัวเองอยู่บนความไม่ประมาท และสำหรับคนที่หมดกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ เชื่อว่าคุณสามารถใช้ชีวิตของชมพู่เป็นแรงบันดาลใจและแรงผลักดันให้คุณลุกขึ้นมาต่อสู้กับปัญหาอีกครั้ง
สิ่งที่ผมประทับใจอีกอย่างเกี่ยวกับชมพู่คือ หลังจากที่เธอป่วย เธอทำอะไรไม่ได้เลย อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ พูดไม่ได้ แต่เธอก็อดทนต่อสู้จนสามารถเอาชนะตัวเองได้ในที่สุด ผมคิดว่าการเอาชนะตัวเองนี้ถือเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ก่อนอ่านหนังสือเล่มนี้อาจจะยังไม่เข้าใจความหมายของการเอาชนะตัวเองเท่าไหร่ แต่พออ่านจบเหมือนได้เห็นสัจธรรมอะไรบางอย่าง ได้รู้สึกถึงความหมายของคำๆนี้ และรู้สึกทึ่งในศักยภาพของมนุษย์คนหนึ่ง ชมพู่บอกว่าชีวิตของเราคือการเรียนรู้และการทำแบบฝึกหัด เราต้องทดสองทดลองอยู่เรื่อยๆจนกว่าจะช่ำชอง
เรื่องราวของหนังสือก็จะเกี่ยวกับชีวิตทั้งหมดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันของผู้เขียน ชีวิตในวัยเด็ก การเรียนหนังสือจนจบบัญชีจุฬา และการได้เข้าทำงานกับบริษัทชื่อดัง จุดพลิกผันครั้งใหญ่ในชีวิตของผู้เขียนที่ทำให้เธอต้องล้มป่วย ชีวิตหลังโรคร้าย ขั้นตอนการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจของเธอ ความท้อแท้สิ้นหวังที่เกิดขึ้น ความรักความห่วงใยที่สมาชิกในครอบครัวมีให้เธอ การมีวินัยในการฝึกทำกายภาพบำบัด ฯลฯ เป็นหนังสือที่อาจจะให้ความรู้สึกเศร้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้เขียน แต่ในเวลาเดียวกันก็เป็นความรู้สึกอิ่มเอมใจ ประทับใจในความอดทนของเธอ
SIX SENSES ฟัง พูด อ่าน เขียน เซียนอังกฤษ
4
เรียนภาษาอังกฤษแบบสนุกๆจากประสาทสัมผัสทั้ง 6
โดย: นิสา วันที่เขียนรีวิว: 27 สิงหาคม พ.ศ. 2557

การพัฒนาทักษะทางภาไม่ว่าจะเป็นภาษาใดๆก็ตาม ไม่สามารถพัฒนาโดยเน้นการเรียนทักษะด้านใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียว เรื่องนี้คือข้อเท็จจริงที่พิสูจน์มาแล้วโดยแทบจะไม่ต้องอ้างอิงตำราทฤษฎีหรือผลการทดลองใดๆ ยกตัวอย่างง่ายๆอย่างเช่นชาวต่างชาติคนหนึ่งที่ไม่เคยพูดหรือแม้แต่ได้ยินภาษาไทยมาก่อน หากเพียงแต่เขาเหล่านั้นได้เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทย อาจจะเป็นเดือนเป็นปีก็แล้วแต่ เมื่อเขาได้ฟังคนไทยพูดบ่อยๆ ได้เจอกับสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับภาษาไทยบ่อยๆ สิ่งเหล่านี้ก็จะซึมซับเข้าไปในตัวทีละเล็กทีละน้อยจนเกิดเป็นทักษะทางภาษาขึ้นมา เมื่อบวกกับความกล้าแสดงออกตามแบบวัฒนธรรมฝรั่งเข้าไปทำให้การเรียนรู้ที่จะใช้ภาษาไทยของฝรั่งชาวต่างชาติจึงไม่ใช่เรื่องยากเกินไป ในทำนองเดียวกันคนไทยที่ไปศึกษาต่อต่างประเทศก็ต้องใช้วิธีการแบบนี้ในการเรียนรู้ภาษาที่สอง พูดง่ายๆก็คือวิธีการเรียนภาษาที่ได้ผลดีที่สุดที่สามารถสื่อสารได้เหมือนกับที่เจ้าของภาษาใช้งานจริงในชีวิตประจำวันก็คือการที่ผู้เรียนต้องทำตัวเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่ง หมายความว่าฝึกเรียนรู้ภาษาใหม่ตั้งแต่การฟัง การคิด การพูด การอ่าน การเขียน
หนังสือเรื่อง six senses ฟัง พูด อ่าน เขียน เซียนอังกฤษ เล่มนี้ ก็ยืนอยู่บนหลักการดังกล่าวในการถ่ายทอดเทคนิควิธีในการเรียนภาษาอังกฤษอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้คนไทยสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ใกล้เคียงกับเจ้าของภาษา ผ่านทางกระบวนการประสาทสัมผัสทั้ง 6 อย่างคือการฟัง การคิด การพูด การอ่าน การเขียน โดยการเรียนจากสถานการณ์ตัวอย่างในชีวิตประจำวัน จริงๆแล้วผู้เขียนจะแบ่ง sense ทั้ง 6 อย่างออกเป็น sense ที่หนึ่ง คือการกล้าพูด เริ่มต้นด้วยการพูดประโยคยอดฮิต การกล้าพูดมีความสำคัญมาก เปรียบเสมือนการเปิดประตูทางภาษาที่ทำให้เราสามารถเรียนรู้ทักษะอื่นๆได้มากขึ้นและง่ายขึ้น sense ที่สองก็คือการฝึกการเปล่งเสียง หมาความว่าเป็นการฝึกสำเนียงการพูดให้เหมือนเจ้าของภาษานั่นเอง สำเนียงการพูดมีส่วนสำคัญในการสื่อความหมายของถ้อยคำที่เราพูดออกไป คำบางคำอ่านออกเสียงผิด ความหมายก็อาจจะคลาดเคลื่อนได้ ทำนองเดียวกันกับภาษาไทยนั่นเอง sense ที่สามคือการฝึกพูดคล่องจากตัวอย่างบทสนทนา ก็จะเป็นการต่อยอดจาก sense ก่อน อย่าลืมว่าเราจะเก่งภาษาได้เราต้องฝึกบ่อยๆจนเกิดเป็นทักษะนั่นเอง sense ที่สี่คือการฝึกคิดใช้คำกิริยา คนไทยมีปัญหาเรื่องการใช้คำกิริยาพอสมควร บางครั้งเราก็เลือกใช้คำกิริยาแบบไทยๆตามที่คุ้นเคย ซึ่งอาจสื่อความหมายไม่ตรงกับคำในภาษาอังกฤษ sense ที่ห้าคือฝึกคิดโยกย้ายเปลี่ยนคำศัพท์ไปมา ซึ่งจะช่วยในเรื่องของการพัฒนาคลังคำศัพท์ให้กับตัวเอง ทำให้เราสามารถใช้คำสื่อความหมายได้หลากหลายขึ้น sense ที่หกคือ การฝึกฝนการอ่าน การอ่านเยอะจะช่วยพัฒนาทักษะทางภาษาในด้านต่างๆเช่นช่วยเพิ่มทักษะการสร้างประโยค การเรียบเรียงคำ การเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ เป็นต้น หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือสอนภาษาอังกฤษที่อ่านสนุก และผมว่าผู้เขียนมีความเข้าใจปัญหาทางภาษาของคนไทยที่ดี สามารถที่จะถ่ายทอดวิธีการเรียนที่เป็นขั้นเป็นตอน เน้นไปที่การเรียนเพื่อนำไปใช้มากกว่าที่จะเป็นการเรียนเพื่อนำไปสอบ
THE MYTHS of HAPPINESS ที่คิดว่าสุขกลับไม่ ที่คิดว่าไม่กลับสุข
4
เป็นหนังสือที่จะช่วยให้เราค้นหาความหมายของความสุข
โดย: นิสา วันที่เขียนรีวิว: 27 สิงหาคม พ.ศ. 2557

หนังสือเล่มนี้น่าจะมีที่มาจากการพยายามหาคำตอบของความหมายของคำว่าความสุข ความสุขที่แท้จริงเป็นอย่างไร มีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ เพราะจากชื่อหนังสือที่บอกว่า ที่คิดว่าสุขกลับไม่ ที่คิดว่าไม่กลับสุข แสดงให้เห็นว่าความหมายของคำว่าความสุขนั้นยังคงเป็นปริศนาที่ไม่สามารถหาคำตอบสุดท้ายได้ จริงๆแล้วก็คงไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไรที่เราจะบอกว่าไม่มีใครรู้จักความหมายที่แท้จริงของความสุข เพราะบางทีความสุขอาจจะเป็นเรื่องเฉพาะตัวของแต่ละบุคคลมากกว่าที่จะเป็นเรื่องที่สามารถสรุปแบบเหมารวมได้ว่าอะไรบ้างที่เรียกว่าสุข และอะไรบ้างที่ไม่ใช่ความสุข ก่อนอ่านหนังสือเล่มนี้ผมคาดหวังอยู่ลึกๆเหมือนกันว่าผู้เขียนจะสามารถแก้ไขความเข้าใจของผมเกี่ยวกับความสุขแบบที่ว่ามานี้ได้หรือไม่ หรือจะสามารถให้คำตอบสุดท้ายได้หรือเปล่าว่าความสุขแท้จริงคืออะไร แต่พออ่านไปเรื่อยๆก็พอเข้าใจได้ว่าหนังสือเล่มนี้แม้จะตั้งชื่อว่า The Myths of Happiness แต่ก็ไม่ได้ทำหน้าที่ในการไขปริศนาแห่งความสุขเพื่อให้คำตอบกับผู้อ่านว่าความหมายที่แท้จริงของความสุขคืออะไร แต่เป็นหนังสือที่ทำหน้าที่ในการกระคุ้นให้ผู้อ่านหันกลับมาพิจารณาทบทวนพฤติกรรม ความคิด ความเชื่อ ของตัวเองในปัจจุบันมากกว่าว่าที่เรากำลังคิด กำลังทำอยู่ในปัจจุบันแล้วเราเชื่อว่านั่นเป็นความสุขนั้น แท้จริงแล้วมันใช่ความสุขหรือเปล่า หรือแท้จริงแล้วมันเป็นเพียงภาพแห่งความสุขในจินตนาการที่เราต่างวาดมันขึ้นมาโดยนิยามเอาเองว่านั่นคือความสุขเพราะสังคมรอบข้าง ค่านิยม ความเชื่อและวัฒนธรรมต่างๆหล่อหลอมความคิดความเชื่อของเราให้เข้าใจว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้คือความสุขหรือไม่ใช่ความสุข พูดง่ายๆก็คือหนังสือพยายามท้าทายผู้อ่านให้ดึงตัวเองออกมาจากโลกแห่งการโฆษณาชวนเชื่อ โลกแห่งสมมติที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยอะไรก็ไม่รู้ แล้วให้ผู้อ่านพยายามเข้าใจโลกแห่งความเป็นจริงของตัวเองว่าความจริงของตัวเองอะไรบ้างที่ทำให้ผู้อ่านมีความสุข เงินทองที่มากมาย ความร่ำรวย หน้าที่การงานที่มั่นคง ชีวิตคู่ที่ใฝ่ฝัน คือสิ่งที่สามารถสร้างความสุขให้กับเราได้จริงๆหรือ การได้มีโอกาสทบทวนสิ่งต่างๆที่ว่ามานี้อาจจะไม่สามารถทำให้เราสุขมากขึ้นก็ได้ แต่อย่างน้อยก็น่าจะช่วยให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น เข้าใจความต้องการของตัวเองมากขึ้น ซึ่งความเข้าใจชีวิตของตัวเองนี่แหละน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการมีความสุข เพราะฉะนั้นถ้าจะให้สรุปแบบสั้นๆว่าหนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับอะไร ก็น่าจะสรุปได้ว่าเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับการสร้างเข้าใจในชีวิตของตัวเองเพื่อเริ่มต้นการมีชีวิตอย่างมีความสุขนั่นเอง ผมชอบอ่านหนังสือแนวนี้เพราะว่าเป็นหนังสือให้ชวนคิดมากกว่าที่จะเป็นหนังสือบอกสูตรสำเร็จ แม้จะมีภาษาที่แปลมา ทำให้อ่านยากอยู่ซักหน่อยแต่ก็ไม่ถึงกับยากจนไม่เข้าใจ
ความสุข ปลดล็อกสู่ความมั่งคั่งทางจิต
4
หนังสือแนวจิตวิทยาที่จะอธิบายความหมายของความมั่งคั่งที่แท้จริง
โดย: นิสา วันที่เขียนรีวิว: 26 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ก่อนที่เราจะพยายามหาความสุขในชีวิตด้วยวิธีการต่างๆนั้น เราเคยตั้งคำถามกันก่อนบ้างหรือไม่ว่าแท้จริงแล้วความสุขคืออะไร เราอ่านหนังสือมากมายที่เป็นหนังสือฮาวทูสอนเรื่องการสร้างความสุขและความสำเร็จในชีวิต แต่หนังสือเหล่านั้นถ้าไม่ใช่หนังสือธรรมะก็จะมองความสุขในความหมายของความสำเร็จ เกียรติยศ ชื่อเสียง เงินทอง อะไรทำนองนั้น เพราะฉะนั้นวิธีการที่ถูกเขียนลงไปในหนังสือก็จะเน้นไปที่วิธีทำอย่างไรให้มีเงินมากๆ วิธีทำอย่างไรให้เป็นคนเก่งคนดัง ทำอย่างไรให้เป็นคนที่เป็นที่ยอมรับนับถือจากผู้คนทั่วไป เป็นต้น จะมีหนังสือซักกี่เล่มที่จะเขียนขึ้นมาโดยให้ความสำคัญกับความหมายของคำว่าความสุขหรือความสุขที่แท้จริง หนังสือเล่มนี้กล้าที่จะทำในสิ่งที่แตกต่างออกไป
การให้คำจำกัดความเรื่องความสุขแบบหยาบๆน่าจะแบ่งความสุขออกเป็นสองแบบคือความสุขทางกายและความสุขทางใจ สำหรับความสุขทางกายนั้นคงไม่ต้องอธิบายอะไรมากมายเพราะเป็นที่เข้าใจกันอยู่แล้ว แต่สำหรับความสุขที่ดูเหมือนจะเป็นปัญหาและเป็นความสุขที่มีความซับซ้อนในตัวเองและมีความยากในการที่จะอธิบายมากกว่าก็คือความสุขทางใจ ถามว่าหนังสือเล่มนี้ได้ให้คำจำกัดความที่ทำให้เกิดความกระจ่างในเรื่องความสุขทางกายหรือไม่ คำตอบคือไม่ แต่หนังสือก็ได้อธิบายถึงสิ่งที่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับความสุขทางใจ ซึ่งผู้เขียนเรียกว่าความมั่งคั่งทางจิต อย่าพึ่งเบื่อเสียก่อนว่าลำพังความหมายของความสุขทางใจก็งงอยู่แล้ว ยังมีคำแปลกๆเพิ่มเข้ามาอีก เพราะคำว่าความมั่งคั่งทางจิตในที่นี้ไม่ได้มีความหมายซับซ้อนอย่างที่คิด ถ้าลองนึกภาพตามไปด้วยผู้เขียนพยายามจะอธิบายว่า ความมั่งคั่งทางจิตจะอยู่บนยอดสุดของปิระมิดเหนือความมั่งคั่งทางวัตถุไปอีก เปรียบเสมือนคุณค่าสูงสุดของความสุข การที่เราจะมีความมั่งคั่งทางจิตได้นั้นเราจะต้องสร้างองค์ประกอบที่ดีงามต่างๆขึ้นมาเพื่อเป็นฐานของปิระมิด องค์ประกอบเหล่านั้นก็ได้แก่การมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง การได้ทำงานที่เรามีความพึงพอใจ การมีสิ่งแวดล้อมทางสังคมที่ดี การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับสิ่งแวดล้อมทางสังคมเหล่านั้น การมีทัศนคติและความรู้สึกเชิงบวก และการมีปัจจัยทางวัตถุที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต พูดง่ายๆให้เห็นภาพก็คือความมั่นคงทางจิตนั้นจะต้องเกิดจากองค์ประกอบภายในตัวเองทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ และเกิดจากองค์ประกอบภายนอกคือสังคม สิ่งแวดล้อม และการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสิ่งต่างๆเหล่านั้นนั่นเอง เป็นหนังสือที่ภาษาที่ใช้อาจจะอ่านเข้าใจยากซักหน่อยแต่เนื้อหาเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอนดี
สำหรับเนื้อหาของหนังสือจะประกอบไปด้วย 4 ส่วนหลักก็คือ การทำความเข้าใจกับความมั่งคั่งที่แท้จริง คนมีสุขทำได้เปี่ยมประสิทธิภาพกว่า เหตุแห่งความสุขและความมั่งคั่งที่แท้ และจับรวมเข้าด้วยกัน
ก้าวพ้นความทุกข์ ก้าวหาความสุข
4
เป็นหนังสือที่อ่านง่ายและให้มุมมองใหม่เกี่ยวกับความทุกข์
โดย: นิสา วันที่เขียนรีวิว: 26 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เคยมีคำกล่าวที่ว่าในโลกนี้ไม่มีความสุข มีแต่ความทุกข์ที่พอทนได้ ความหมายของคำกล่าวนี้น่าจะมีนัยยะที่ต้องการเตือนตัวเองให้รู้จักมองโลกอย่างเข้าใจว่าแท้จริงแล้วนั้นความทุกข์เป็นของธรรมดา เป็นของที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นไม่มีทางเลยที่เราจะหนีจากความทุกข์ได้ ตราบใดที่เรายังไม่สามารถที่จะตัดขาดจากกิเลสได้โดยสิ้นเชิง ความหมายของคำว่าก้าวพ้นความทุกข์ ก้าวหาความสุขของหนังสือเล่มนี้ จึงไม่ได้หมายความว่าให้เราตัดทุกข์ออกไป หรือให้เราหนีทุกข์ไปให้ไกล แต่มีความหมายว่าให้เรารู้จักความทุกข์ในแง่มุมที่รอบด้าน รู้จักว่าความทุกข์นั้นแท้จริงแล้วก็เหมือนสิ่งอื่นๆบนโลกใบนี้ที่มีทั้งด้านที่ไม่ดีและด้านที่ดีมีประโยชน์ หากเราสามารถเรียนรู้ด้านดีของความทุกข์ เข้าใจ และสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตได้ ทุกข์นั้นแหละก็จะกลายเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญให้เราสามารถเดินทางไปสู่ความสุขได้ อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วทำให้นึกถึงหนังสือของท่านอาจารย์ ว.วชิรเมธี เล่มหนึ่งที่ชื่อว่า ความทุกข์มาโปรด ความสุขโปรยปราย ซึ่งเป็นหนังสือที่มีหลักคิดที่ไม่แตกต่างจากหลักของหนังสือเล่มนี้ที่สอนให้เรารู้จักความทุกข์ในมุมที่จะเป็นประโยชน์สำหรับเรา เป็นการมองว่าความทุกข์ที่เข้ามาเยี่ยมเยือนชีวิตของเรานั้นคือความทุกข์ที่มาโปรดเรา เพื่อให้เราได้ค้นพบความสุขในที่สุด
ผมว่ามุมมองเรื่องการก้าวพ้นความทุกข์ของหนังสือทั้งสองเล่มนี้เป็นมุมมองที่ยืนอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงที่จับต้องได้สำหรับทุกคน หมายความว่าไม่ได้นำเสนอเนื้อหาเรื่องการดับทุกข์ในมุมที่เคร่งเครียดจริงใจในแบบธรรมะของพระอรหันต์อะไรทำนองนั้น แต่เป็นมุมมองเรื่องการดับทุกข์ที่ง่าย ใกล้ตัว และสามารถทำได้จริง เพียงแค่การเริ่มต้นจากการปรับทัศนคติของตัวเองในการมองความทุกข์ว่าไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจ แต่กลับเป็นสิ่งที่มีคุณค่าต่อการเรียนรู้ชีวิตเท่านั้นเอง
เมื่อเป็นแบบนี้จะเห็นเนื้อหาของหนังสือจะเน้นไปที่การสอนให้ผู้อ่านมองโลกในแง่ดี สอนไปที่เรื่องของการปรับความคิดของตัวเองเสียใหม่ในเวลาที่ต้องพบเจอกับสถานการณ์ที่เลวร้าย หรือไม่เป็นที่ต้องการ ยกตัวอย่างเช่นการพูดถึงเรื่องของการคิดบวก คิดลบ การสู้ชีวิตล้มแล้วอย่าท้อ เมื่อรักแล้วก็อย่ารักจนกลายเป็นหลง การสอนให้รู้จักพอไม่โลภมาก เป็นต้น
โดยสรุปคือหนังสือเล่มนี้พูดถึงเรื่องง่ายๆเกี่ยวกับความทุกข์และความสุข เป็นหนังสือธรรมะที่อ่านสบายๆไม่เครียดมาก แม้จะไม่ได้มีเนื้อหาทางธรรมที่ลึกซึ้งแต่ด้วยความเรียบง่ายก็มีเสน่ห์น่าอ่านเหมือนกัน
GOOD SHAPE Save Cost โครตประหยัด ขจัดอ้วน (จอห์น วิญญู)
4
เป็นหนังสือที่เป็นแรงบันดาลใจที่ดีในการลดน้ำหนัก
โดย: นิสา วันที่เขียนรีวิว: 26 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ในปัจจุบันเรื่องการลดน้ำหนักและการดูแลรูปร่างให้ดีนั้น กำลังเป็นกระแสที่ใครหลายคนสนใจ คนเราสมัยนี้อยากหล่ออยากสวยกันมากกว่าเมื่อก่อน โดยเฉพาะเรื่องศัลยกรรมตอนนี้เป็นอะไรที่หลายต่อหลายคนอยากทำแล้วก็มองว่าเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว แต่ก่อนจะไปถึงเรื่องนั้นกลับกันที่เรื่องรูปร่างก่อนดีกว่า เรื่องการลดน้ำหนักก็คงเป็นเรื่องที่ไม่แพ้เรื่องศัลยกรรม เวลาเราออกไปข้างนอก ไปเที่ยวห้างสรรพสินค้าต่างๆเราจะเห็นสถาบันความงาม สถาบันลดน้ำหนัก และฟิตเนสเซนเตอร์เยอะแยะมากมายเต็มไปหมด หน้าสถาบันต่างๆเหล่านั้นก็จะมีรูปดาราหน้าตาสวยหล่อหุ่นดีๆ ติดป้ายไว้เพื่อโฆษณาให้มาใช้บริการกัน แต่ถามว่าอะไรคือจุดอ่อนสำคัญของสถาบันลดน้ำหนักที่ว่ามานั้น ผมว่าจุดอ่อนก็คือราคาที่โหดเกินไปที่ผู้บริโภคที่มีรายได้ทั่วไปแบบกลางๆจะเข้าไปใช้บริการได้และอีกอย่างที่สำคัญก็คือการไม่สามารถรับประกันได้ว่าหลังจากเข้าใช้บริการจนสำเร็จได้รูปร่างที่ต้องการมาแล้ว เราจะไม่กลับไปอ้วนแบบเดิมอีก
จอห์น วิญญู ดารา นักแสดง และพิธีกรชื่อดัง เป็นคนหนึ่งที่เคยผ่านประสบการณ์การเสียเงินหลายแสนเพื่อเข้าสู่กระบวนการลดน้ำหนักจากสถาบันที่ว่ามานั้นแล้วล้มเหลวไม่เป็นท่า แต่ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าการลดน้ำหนักด้วยวิธีการแบบนั้นเป็นเรื่องผิดหรือเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ เพียงแต่กำลังจะบอกว่าจอห์น วิญญูเป็นตัวอย่างหนึ่งของคนที่ใช้วิธีการดังกล่าวแล้วไม่ได้ผล แล้วหันกลับมาเริ่มต้นลดน้ำหนักด้วยความตั้งใจของตัวเองและด้วยวิธีการที่คิดค้นขึ้นมาแล้วเหมาะสำหรับตัวเอง พูดง่ายๆก็คือจอห์น เป็นตัวอย่างในแง่ของแรงบันดาลใจในการปฏิวัติตัวเองเสียใหม่ด้วยมือของตนเอง ด้วยความตั้งใจ และที่สำคัญด้วยการหาความรู้ ไม่ใช่การลดน้ำหนักแบบผิดๆ วิธีการที่จอห์นใช้นั้นหลักๆก็คือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและปรับเปลี่ยนสิ่งที่กิน มีแค่สองอย่างนี้จริงๆ การกินที่เป็นเวลาที่แน่นอน การกินอย่างพอเหมาะพอดี และการกินอย่างมีวินัยคือหัวใจสำคัญที่ทำให้จอห์นลดน้ำหนักได้สำเร็จ สิ่งที่จอห์นใช้เป็นเครื่องมือสำคัญก็คือการนับแคลลอรี่ของอาหารที่กิน ซึ่งวิธีนี้ตัวผมเองซึ่งเคยหนักกว่า 80 กิโลกรัม ก็เคยใช้มาก่อนและได้ผลจริงมาแล้ว ซึ่งวิธีการก็ไม่ได้ใช้การคำนวณที่ยุ่งยากอะไร แค่ดูตรงฉลากที่กำกับไว้ว่าอาหารที่เรากินมีปริมาณแคลอรี่เท่าไหร่ แล้วเรากินวันหนึ่งได้ไม่เกินเท่าไหร่ แค่นี้ก็สามารถลดน้ำหนักลงไปได้มากแล้ว แต่มีเรื่องหนึ่งที่คิดว่าเป็นข้อเสียของหนังสือเล่มนี้คือการที่จอห์นเน้นเฉพาะเรื่องการควบคุมแคลอรี่มากไปหน่อยล้วละเลยในส่วนที่จะพูดถึงการออกกำลังกายที่เป็นหัวใจอีกอย่างของการลดน้ำหนัก อีกอย่างเราก็ไม่สามารถมั่นใจได้ร้อยเปอร์เซนว่าวิธีการและความรู้ที่จอห์นบอกจะถูกต้องตามหลักการที่ควรจะเป็น
ป้าเชื่อแบบนั้นจริงๆหรือครับ??
5
อ่านสนุก อ่านง่าย ได้ความรู้
โดย: นิสา วันที่เขียนรีวิว: 26 สิงหาคม พ.ศ. 2557

จากเจ้าของแฟนเพจที่มียอดไลค์กว่าสามแสน หมอหมีผู้เหี้ยมโหดได้กลายมาเป็นนักเขียนผู้เหี้ยมโหด ผู้เขียนหนังสือที่ถ่ายทอดเรื่องราวสนุกปนฮาเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องความเจ็บป่วยและวงการแพทย์ต่างๆ ผ่านหนังสือชื่อ ป้าเชื่อแบบนั้นจริงๆหรือครับ ซึ่งไม่เพียงแต่ป้าที่เคยเชื่อแบบนั้น ผู้อ่านหลายคนรวมถึงผมก็เคยเชื่อแบบผิดๆแบบนั้นมาเหมือนกัน แต่ที่เลือกใช้คำว่าป้าก็เพราะส่วนใหญ่เรื่องที่นำมาเขียนก็จะเป็นประสบการณ์ฮาๆในการรักษาคุณลุงคุณป้าทั้งหลายของหมอนั่นเอง ถ้าผู้อ่านเคยติดตามหมอหมีผู้เหี้ยมโหด ผ่านทางเฟซบุ๊ค คงจะพอเข้าใจได้ว่าทำไมหนังสือถึงบอกว่าเป็นหมอผู้เหี้ยมโหด หยาบคาย ขี้ประชด และไม่ใจดีเหมือนหน้าตา แต่ไม่ว่าปากของหมอจะเป็นอย่างไรรับรองได้เลยว่าเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ไม่ไร้สาระกับผู้อ่านอย่างแน่นอน ด้วยภาษาและสไตล์การเขียนที่สามารถอธิบายเรื่องเข้าใจยากๆในทางการแพทย์ให้คนทั่วไปสามารถเข้าใจได้ง่ายๆ และมีการสอดแทรกความสนุกปนฮาเข้าไป ทำให้เรื่องราวความรู้ทางการแพทย์ที่ใครอ่านแล้วก็งงกลายเป็นเรื่องที่ใครๆก็อยากรู้และไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
เนื้อหาภายในหนังสือเล่มนี้จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการอธิบายความเชื่อที่เกี่ยวกับเรื่องความเจ็บป่วยและการรักษาที่เราเคยทำต่อๆกันมาแบบผิดๆถูกๆ หมอจะมาอธิบายว่าทำไมถึงทำแบบนั้น จะมาอธิบายว่าที่ถูกควรเป็นอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น เป็นหวัดทำไมถึงห้ามกินน้ำเย็น ทำไมกินเผ็ดถึงเป็นโรคกระเพาะ อาหารแสลง งูสวัดพันรอบตัวแล้วจะตายจริงไหม กุมารทองในท้อง ฯลฯ ความน่าสนใจของหนังสือนอกจากเรื่องนิสัยการประชดประชันของหมอ ที่ทำให้ผู้อ่านอ่านสนุกแล้ว ความน่าสนใจของเรื่องที่นำมาเล่าผ่านตัวอักษรก็เป็นอีกส่วนที่ทำให้หนังสือน่าอ่านเพราะเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก เป็นเรื่องที่ถ้าเราสามารถแก้ไขความเข้าใจผิดซะใหม่ หรือเป็นเรื่องที่เรารู้ข้อมูลที่ถูกต้องแล้วก็จะเป็นประโยชน์กับสุขภาพร่างกายของเราเอง ในหนังสือยังมีของแถมเป็นการ์ตูนประกอบเรื่องตลกๆสนุกดี
ยกตัวอย่างความรู้ที่ได้จากหนังสือเล่มนี้ก็เช่น มีคุณป้าท่านหนึ่งมาหาหมอ คุณป้าป่วยเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดี หมอจึงแนะนำให้คุณป้าผ่าตัดถุงน้ำดี แต่คุณป้าแกก็ไม่ยอม เพราะป้าแกเชื่อว่าถ้าผ่าตัดไปอวัยวะก็จะไม่ครบ 32 เกิดไปชาติหน้าจะกลายเป็นคนพิการ จริงๆเรื่องนี้ตลกตรงที่ความเชื่อของคุณป้าที่ทุกคนรู้ดีว่ามันไม่เกี่ยวอะไรกันเลยกับการเกิดชาติหน้าแล้วจะกลายเป็นคนพิการ แต่ความรู้ที่ได้จากเรื่องนี้ก็คือ จะได้รู้ว่าถุงน้ำดีทำหน้าที่อะไรในร่างกาย การผ่าตัดถุงน้ำดีใช้วิธีไหน อันตรายรึเปล่า เรื่องราวความรู้แบบนี้ถ้าเป็นหนังสือแบบอื่นคงไม่น่าอ่าน แต่พอเป็นหนังสือในแบบของหมอหมีกลับเป็นเรื่องน่ารู้ขึ้นมาได้
นาฬิกาชีวิตกับวิถีแห่งธรรมชาติ
4
เป็นหนังสือที่จะทำให้เราเข้าใจว่าการใช้ชีวิตให้ตรงตามนาฬิกาชีวิตนั้นสำคัญแค่ไหน
โดย: นิสา วันที่เขียนรีวิว: 26 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ทุกวันนี้คนเราใช้ชีวิตกันแบบตามใจฉันเสียส่วนมาก หมายความว่าอยากจะกินเมื่อไหร่ก็กิน อยากจะนอนเมื่อไหร่ก็นอน อยากจะเที่ยวเมื่อไหร่ก็เที่ยว โดยไม่สนใจเลยว่าสุขภาพร่างกายของเรานั้นจะทรุดโทรมไปมากน้อยแค่ไหน อันที่จริงจะว่านี่เป็นความละเลยไม่เอาใจใส่ในสุขภาพของตัวเองเลย ก็คงพูดแบบนั้นได้ไม่เต็มปาก เพราะว่าด้วยข้อจำกัดของเวลา ด้วยข้อจำกัดของภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ทั้งการเรียนและการทำงาน สิ่งเหล่านี้บังคับให้เราต้องทำแบบนั้น ทั้งที่ในใจเราอยากจะทำทุกอย่างให้เป็นเวลา เป็นระบบระเบียบ
สำหรับคนที่เอาใจใส่เรื่องสุขภาพร่างกายของตัวเองนั้น เชื่อว่าทุกคนคงต้องนึกถึงการพักผ่อนที่เพียงพอและการใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับธรรมชาติให้มากที่สุด ในเรื่องการใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับธรรมชาตินี้ มีงานวิจัยมากมายทั้งในและต่างประเทศที่สนับสนุนหลักการดังกล่าว เรื่องนาฬิกาชีวิตก็เป็นหนึ่งในทฤษฎีที่ยึดหลักการทำงานของร่างกายกับกลไกของธรรมชาติเช่นกัน ซึ่งความหมายของนาฬิกาชีวิตก็คือตารางหรือวงจรการทำงานของร่างกายที่ถูกตั้งเอาไว้อย่างเป็นระบบ เพื่อทำหน้าที่ในการกำหนดเวลาการทำงานของระบบต่างๆว่าระบบนี้ควรทำงานเวลาไหนหรือสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพเวลาไหน ซึ่งตารางหรือวงจรอันนี้ถูกออกแบบมาโดยธรรมชาติ ดังนั้นหน้าที่ของมนุษย์ก็คือการเข้าใจวงจรอันเป็นธรรมชาติอันนี้แล้วพยายามกำหนดรูปแบบการใช้ชีวิตของตนเองหรือกำหนดตารางกิจวัตรประจำวันของตัวเองออกมาให้สอดคล้องกับตารางของนาฬิกาชีวิต ทั้งนี้ก็เพื่อให้ทุกอย่างนั้นสอดคล้องต้องกัน ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็คือการมีสุขภาพที่ดีทั้งทางร่างกายและจิตใจ
จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นว่านาฬิกาชีวิตนั้นมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมประจำวันของมนุษย์นั่นเอง ทำอย่างไรจึงจะให้สองสิ่งนี้สามารถทำงานได้อย่างสัมพันธ์กัน ซึ่งนี่คือเนื้อหาที่เป็นหัวใจของหนังสือเล่มนี้ ในส่วนที่ว่าด้วยนาฬิกาชีวิตกับร่างกายมนุษย์นั้นผู้อ่านจะได้ทำความเข้าใจสิ่งที่เรียกว่านาฬิกาชีวิตโดยละเอียด ความรู้สึกเวลาที่อ่านคือรู้สึกทึ่งในความซับซ้อนของกลไกการทำงานของร่างกายและก็อดสงสัยไม่ได้ว่าคนที่ศึกษาเรื่องเหล่านี้สามารถเข้าใจขั้นตอน ช่วงเวลาของการทำงานของอวัยวะ และระบบต่างๆของร่างกายตามนาฬิกาชีวิตได้อย่างไร อย่างเช่นเราคงเคยได้ยินมาว่าเราควรขับถ่ายทุกเช้าอย่างสม่ำเสมอ อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของนาฬิกาชีวิตที่มีการอธิบายว่าช่วงเวลาตีห้าถึงเจ็ดโมงเช้าจะเป็นช่วงการทำงานของลำไส้ใหญ่ซึ่งทำหน้าที่ในการขับถ่ายของสียออกจากร่างกาย เลยเป็นที่มาว่าตารางชีวิตประจำวันของเราก็ควรจะขับถ่ายในช่วงเวลานี้หรือว่ารับประทานอาหารประเภทต่างๆที่จะช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบขับถ่ายให้มีประสิทธิภาพ เป็นต้น นอกจากนี้ในหนังสือยังมีเนื้อหาอีกหลายเรื่องที่เป็นความรู้ที่น่าสนใจทั้งสิ้น ผู้อ่านที่เป็นคนรักสุขภาพต้องไม่พลาด อ่านแล้วให้ความรู้สึกว่าอยากทำให้ได้อย่างที่หนังสือบอกและจริงๆก็เป็นเรื่องง่ายๆที่สามารถทำได้เลย
www.batorastore.com © 2024